ในข่วงที่กระแสความนิยมที่กลับมาอีกครั้งของรถแบบโรดสเตอร์ในยุด 90 จากความสำเร็จของมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5(Mazda MX-5) ทำให้รถยนต์หลากหลายค่ายต่างๆ เริ่มฟื้นโปรเจคต์รถเล็กหลังคาเปิดประทุนได้ออกมามัดใจลูกค้า ซึ่งหนึ่งในค่ายที่มีตำนานยาวนานกับรถแบบโรดสเตอร์อย่าง บีเอ็มดับเบิลยู(BMW) นั้นย่อมไม่พลาดการเข้าชิงส่วนแบ่งการตลาดนี้
ค่ายใบพัดฟ้าขาวกลับมาทำตลาดรถสปอร์ตขนาดเล็กหลังคาเปิดได้ ด้วยรุ่น แซด3 ( Z3) ในปี 1997 เพื่อออกมาต่อกรกับคู่แข่งร่วมชาดิอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ปล่อย เอสแอลเค (SLK) ออกสู่ตลาดในเวลาไล่เลี่ยกัน โดย แซด3 เปิดตัวด้วยการไปอยู่ในหนังฟอร์มยักษ์อย่าง เจมส์ บอนด์ 007 ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
สำหรับเมืองไทย บีเอ็มดับเบิลยู นำแซด3 เข้ามาทำตลาดด้วยเช่นกัน แม้ยอดขายจะไม่มากมาย แต่ค่ายใบพัดฟ้า-ขาวก็ยังคงยืนหยัดทำตลาดเจ้าโรดสเตอร์คันนี้มาโดยตลอดจนถึงเจนเนอเรชั่นล่าสุดในชื่อ แซด4 (Z4) ที่เผยโฉมอย่างเป็นทางการในไทยไปเมื่องานมอเตอร์ โชว์ ช่วงต้นปี2552
แซด4 โฉมปัจจุบันนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของ แซด4 (รหัส E89)โดยมีการเปลี่ยนแปลงการเรียกชื่อรุ่นย่อยแบบเต็มยศใหม่เป็น แซด4 เอสไดร์ฟ 23ไอ (Z4 sDrive 23i) ตามการเปลี่ยนการเรียกชื่อรถหลายรุ่นของบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลก
Z4 ใหม่ มีขนาดตัวถังยาว 4,091 มิลลิเมตร กว้าง 1,781 มิลลิเมตร สูงเพียง 1,299 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อสั้นเพียง 2,495 มิลลิเมตร ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ถือว่าสั้น เพราะขาดอีกเพียง 5 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อก็จะเท่ากับ Toyota Vios รุ่นแรก ส่วนน้ำหนักตัว ในโหมด Unladen weight ตามมาตรฐานของ EU อยู่ที่ 1,480 กิโลกรัม และสามารถแบกน้ำหนักบรรทุกได้เพิ่มอีก เพียง 330 กิโลกรัม ทำให้น้ำหนักตัว รวมของเหลว และน้ำหนักบรรทุกเต็มพิกัด จะอยู่ที่ 1,760 กิโลกรัม
ภายนอก สวยทันสมัยสไตล์คูเป้
รูปโฉมภายนอกได้รับการออกแบบใหม่หมด ปรับแต่เส้นสายต่างๆให้ดูโค้งมนกลมกลืนมากกว่ารุ่นก่อนหน้าที่โดนวิจารณ์จากเหล่าบิมเมอร์ว่า เหมือนรถสร้างไม่เสร็จหลายอย่างไม่ลงตัว แต่สำหรับโฉมปัจจุบันได้รับเสียงตอบรับทางด้านดีมากมาย รวมถึงคว้ารางวัลRed Dot Design Award และดีไซน์ยอดเยี่ยม Eyes On Design Award มาการันตีด้านความสวยงาม
“สัดส่วนแห่งความคลาสสิกของรถแบบโรดสเตอร์ คือ ด้านหน้ายาว ด้านท้ายสั้น และราบต่ำ
ซึ่งเป็นเคล็ดลับและมนต์ขลังของโรดสเตอร์พันธุ์แท้ BMW Z4 ได้รับการถ่ายทอดแรงบันดาลใจ จาก BMW 507
ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นโรดสเตอร์ที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์คันหนึ่ง จะเห็นได้จากแนวฝากระโปรงหน้า
ที่งุ้มลงแบบ ‘จมูกฉลาม’ ซึ่งให้ความรู้สึกที่ดุดัน น่าเกรงขาม ในขณะเดียวกันก็จะใช้ลายเส้น ที่ปราณีต
และเน้นความต่อเนื่อง เพื่อสร้างสรรค์ความสง่างาม เช่น ลายเส้นบนฝากระโปรงหน้าที่เริ่มจากโลโก้
บีเอ็มดับเบิลยู ลากยาวตลอดบนแนวฝากระโปรง และต่อเนื่องผ่านแนวหลังคา สู่ฝากระโปรงด้านหลัง
อีกเสน่ห์หนึ่งของดีไซน์ของ BMW Z4 ใหม่อยู่ที่การใช้พื้นผิวเพื่อขับเน้นความคมคายของคาร์แรคเตอร์ของ
BMW Z4 เช่น ลายเส้นส่วนที่เริ่มจากแนวไฟหน้าลากยาวผ่านพื้นผิวแนวโค้งด้านบนของฝากระโปรงหน้า
ต่อเนื่องรับกับแนวเว้าคอดเพื่อขับเน้นความคมคายของสันของแนวของประตู จากนั้นก็พลิกเปลี่ยนกลับสู่
พื้นผิวแบบโค้งในส่วนของโป่งซุ้มล้อหลังที่แสดงออกถึงความกำยำเสมือนมัดกล้ามของนักกีฬาชั้นยอด
จากความลงตัวของทั้งสามส่วนทำให้ BMW Z4 สามารถผสมผสานได้อย่างลงตัวระหว่างความคลาสสิก
และความล้ำสมัย และความดุดันและความสง่างาม”
จุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ กระโปรงหน้ายาว มีเหตุผลมากจากการเลือกใช้เครื่องยนต์แบบ 6 สูบแถวเรียงที่ค่ายใบพัดฟ้าขาวบอกว่าเป็นเครื่องยนต์ที่เหมาะกับรถแบบโรดสเตอร์มากที่สุด เนื่องจากมีน้ำหนักที่พอเหมาะ พละกำลังเหลือเฟือ ทำให้ แซด4 มีการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังที่สมดุล 50:50
นอกจากนั้น แซด4 ยังเป็นรถรุ่นแรกของโรดสเตอร์ของบีเอ็มดับเบิลยู ที่มาพร้อมกับหลังคาแข็งอะลูมิเนียมพับได้ เปิด-ปิดหลังคาภายในเวลาเพียง 20 วินาที และโครงร่างของเส้นหลังคาเมื่อปิดหลังคาแล้วยังได้ถอดแบบเค้าโครงของรถคูเป้ ด้วยกระจกข้างและหลังที่ให้มุมมองกว้างไกล
ภายใน สปอร์ตและแคบ
สำหรับการออกแบบภายในของแซด4 โดยความเห็นส่วนตัวของเราค่อนข้างชอบมากเป็นพิเศษดูลงตัว เบาะนั่งหนังแท้โอบกระชับ แต่บางคนอาจจะบ่นว่าแคบไปเพราะจะเป็นการนั่งพอดีตัว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาวะปิดหลังคา ศีรษะของผู้ขับและผู้โดยสารเกือบจะติดหลังคาเลยทีเดียว
ตำแหน่งของปุ่มฟังก์ชั่นต่างๆ อยู่ในจุดใช้งานง่าย ปุ่มปรับแอร์ทรงกลมเรียงสี่อันที่หน้าคอนโซล พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าหุ้มด้วยหนังแท้ คอนโซลหน้าหนังสีดำสลับด้วยอะลูมิเนียม ให้ความรู้สึกสปอร์ตเต็มๆ พร้อมด้วยแป้นหลังพวงมาลัย (Shift paddles) สำหรับการปรับเปลี่ยนเล่นเกียร์แบบเกียร์ธรรมดา
คอนโซลกลาง ใช้วัสดุสีเงินอะลูมีเนียมเป็นหลัก พร้อมกับวางเกียร์และปุ่มปรับโหมดของการขับเคลื่อน 2 แบบคือ Normal และ Sport เอาไว้ซึ่งเราจะกล่าวถึงในช่วงการทดลองขับ รวมถึงมีปุ่มเบรกมือแบบไฟฟ้าจัดวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ
เครื่องยนต์ แรงเอาใจบิมเมอร์
หัวใจของแซด4 บรรจุเครื่องยนต์แบบ 6 สูบแถวเรียงขนาดความจุ 2,497 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่ 6400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 2750 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบสเตปทรอนิค(เล่นเกียร์ได้เหมือนเกียร์ธรรมดา) อัตราเร่ง 0 – 100 กม./ชม. ในเวลา 7.3 วินาที
สมรรถนะ แรงสมสปอร์ตโรดสเตอร์
เรามีโอกาสขับเจ้าแซด4 โฉบฉี่ยวไปทั้งแบบในเมืองและนอกเมือง ซึ่งการขับแบบในเมืองจะสร้างความสุขให้กับหนุ่มๆ มากเป็นพิเศษด้วยความรู้สึกที่ไม่ว่าขับไปไหนมักจะมีคนมองตลอดเวลา โดยเฉพาะเหล่าสาวๆ ทั้งในย่านสยามสแควร์หรือย่านมหาวิทยาลัยหลายแห่ง
เรียกว่า หากคุณขับแซด4ไป เวลาจอดและลงมาจากรถจะถูกจับจ้องจากคนรอบข้างอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าใครเป็นคนขี้อายแล้วสงสัยว่าแซด 4 อาจจะสร้างความไม่ชอบใจให้สักเท่าไหร่
ช่วงแรกเราขับในโหมด Normal เป็นการขับแบบในเมือง แซด 4 มีความคล่องตัวสูงด้วยคุณสมบัติของพวงมาลัยไฟฟ้าและรัศมีวงเลี้ยวแคบทำให้การบังคับควบคุมแม่นยำ จังหวะเปลี่ยนเลนภายใต้การจราจรติดขัดของกรุงเทพฯ สะดวกคล่องแคล่ว แต่ทัศนวิสัยอาจจะเป็นอุปสรรคอยู่บ้างสำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับการขับรถสปอร์ต เนื่องจากกระจกหน้ามีขนาดเล็ก กระโปรงหน้ารถยาว ทำให้การกะระยะต้องใช้ทักษะพอสมควร
ด้านการตอบสนองของเครื่องยนต์หลังเหยียบคันเร่งคิกดาวน์ เรารู้สึกว่า แทบจะไม่ต่างความแรงที่เราได้รับจากการขับซีรี่ส์ 3 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลและ รู้สึกว่า 325 โฉมคูเป้ตอบสนองความแรงที่ถึงใจเรามากกว่า ทำให้เลยคิดไปว่า นี่หรือคือรถสปอร์ต ทำไมความแรงมันไม่ต่างจากรถซีดานเลย หรืออาจจะเป็นเพราะเราตั้งความหวังไปไว้มากเกินไป
หากมองในแง่ดี แซด4 เป็นรถสปอร์ตที่ขับขี่เหมือนรถซีดานก็ได้ ส่วนความเร็วสูงสุดที่เราลองขับเมื่อได้ออกไปวิ่งทางยาวๆ แบบนอกเมืองคือ ราว 160 กม./ชม. ยังคงอุ่นใจกับการเกาะถนนเต็ม 100% เสียงลมเริ่มดังเข้ามารบกวนภายในห้องโดยสารเมื่อความเร็วทะลุเกิน 140 กม./ชม.ขึ้นไป
ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้โหมด Normal แต่แล้วเมื่อเราเปลี่ยนโหมดการขับขี่เป็น Sport ความรู้สึกในการขับเปลี่ยนไปทันที เพียงแค่ติดเครื่องรออยู่ในเกียร์ 1 เจ้าแซด4 ยังคงให้ความรู้สึกเหมือนอยากจะกระโจนออกไปข้างหน้าตลอดเวลา
ยิ่งเมื่อเราคิกดาวน์ คราวนี้ พละกำลัง 204 แรงม้า เหมือนพุ่งออกมาตอบสนองอยู่อย่างต่อเนื่องไม่มีหมด ความรู้สึกสนุกของการขับรถสปอร์ตในจินตนาการกำลังแสดงผลงานให้เห็นภายใต้การบังคับควบคุมของเรา น้ำหนักของพวงมาลัยยังคงแม่นยำไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงการตอบสนองของคันเร่งที่แม้เรากดไปเพียงเล็กน้อย แซด4 พร้อมพุ่งทะยานออกตัวแบบหลังติดเบาะนิดๆ
ซึ่งเจ้าความรู้สึกแบบนี้เองที่ทำให้ แซด4 ถูกตาต้องใจเราแต่มันก็คงต้องแลกมาด้วยอัตราการบริโภคน้ำมันที่หนักหนากว่าการขับแบบปกติในโหมด Normal ที่ทำตัวเลขเฉลี่ย (ก่อนปรับมาเป็นโหมดSport) อยู่ที่ระดับเกือบ9 กม./ลิตร ทั้งนี้หลังจากหันมาขับในโหมด Sport แล้วตัวเลขเฉลี่ยรวมขยับปรับเปลี่ยนไปอยู่ที่ราว 7 กม./ลิตร

สรุป
ด้วยราคารถใหม่ 4.599 ล้านบาท ของแซด 4 เอสไดร์ฟ 23ไอ ตอบโจทย์ให้กับเศรษฐีผู้ชอบความโดดเด่นและแตกต่าง จากรูปทรงภายนอกอันโฉบเฉี่ยวโดนใจและหากคุณได้ลองขับทั้งโหมด Normal และ Sport แล้ว เชื่อเถอะว่าคุณจะประทับใจมันจนอยากจะควักเงินให้ในทันที
แต่ถ้าหากคุณผู้อ่านสนใจอยากเป็นเจ้าของแล้วละก็ ทาง Apple Luxury Car ขอนำเสนอกับ BMW Z4 2.5 E89 sDrive23i ปี 2010 ซึ่งราคาร่วงมาจากมือหนึ่งออกศูนย์เป็นอย่างมาก ด้วยราคาเพียงแค่ 1,550,000 บาท เท่านั้น เรียกได้ว่าได้ลุคหรูสปอร์ต ยุค 90 ในราคาเท่ารถญี่ปุ่นกันเลย